ข่าว/ประกาศ

"รักษาสุขภาพกันนะคะ ดูแลตัวเอง ผู้คนและทุกสิ่งรอบๆตัวเราด้วย..."

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2568

แนวทางการจัดทำแผนการจัดประสบการณ์ (หลักสูตร 2568)

ที่มา: คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี

สำหรับโรงเรียนที่มีความพร้อมและสมัครใจ ปีการศึกษา 2568 

https://academic.obec.go.th/web/images/mission/1744086483_d_2.pdf







    แผนการจัดประสบการณ์เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ให้แก่เด็ก ช่วยให้ผู้สอนสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลให้ เด็กเกิดแนวคิด ทักษะ ความสามารถ คุณลักษณะ ค่านิยม และความเข้าใจอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการ และความสามารถผู้เรียน ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมดุล สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ และมีความสุขในการเรียนรู้ ผู้สอนทุกคนจึงจำเป็นต้องวางแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อให้สามารถจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการและความสามารถของเด็กให้บรรลุเป้าหมายของหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งมีแนวทางการจัดทำแผนการจัดประสบการณ์ตามแผนภาพ ดังนี้

แผนภาพแสดงขั้นตอนการนำหลักสูตรสถานศึกษาสู่การจัดทำแผนการจัดประสบการณ์




ขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดประสบการณ์

การจัดทำแผนการจัดประสบการณ์ให้บรรลุจุดหมายของหลักสูตรสถานศึกษา ผู้สอนควรดำเนิน ตามขั้นตอนต่อไปนี้

1) ศึกษาและทำความเข้าใจหลักสูตรสถานศึกษา ผู้สอนควรศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา อย่างละเอียดจนเกิดความเข้าใจว่าจะต้องพัฒนาเด็กอย่างไรเพื่อให้บรรลุตามจุดหมายที่กำหนดไว้ การศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาช่วยให้ผู้สอนสามารถออกแบบการจัดประสบการณ์ที่สอดคล้องกับหลักสูตรสถานศึกษา นอกจากนี้ควรศึกษาเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเพื่อให้มีความเข้าใจยิ่งขึ้น อาทิ คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ข้อมูลพัฒนาการและความสามารถเด็กอายุ 3-6 ปี

2) ออกแบบการจัดประสบการณ์ ผู้สอนควรออกแบบการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบ การจัดประสบการณ์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา ในกรณีที่สถานศึกษากำหนดรูปแบบการจัดประสบการณ์แบบหน่วยการจัดประสบการณ์ ผู้สอนต้องกำหนดหัวเรื่องเพื่อใช้เป็นแกนกลางในการจัดประสบการณ์ และกำหนดรายละเอียดของหน่วยการจัดประสบการณ์ โดยนำมาจากการวิเคราะห์ สาระการเรียนรู้รายปีในหลักสูตรสถานศึกษา ดังนี้

(๑) กำหนดหัวเรื่องหรือชื่อหน่วยการจัดประสบการณ์ ผู้สอนต้องกำหนดหัวเรื่อง เพื่อใช้ในการจัดประสบการณ์โดยพิจารณาจากสาระที่ควรเรียนรู้ซึ่งระบุไว้ในการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ รายปีในหลักสูตรสถานศึกษา หัวเรื่องที่กำหนดควรมีลักษณะเหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็ก ตรงตามความต้องการและความสนใจของเด็ก สอดคล้องกับสภาพและบริบทในการดำเนินชีวิตประจำวัน ของเด็ก หรือสามารถผนวกคุณธรรมและจริยธรรมเข้าไปได้อย่างผสมกลมกลืน การกำหนดหัวเรื่องสามารถ ทำได้ ๓ วิธี ดังนี้

วิธีที่ ๑ ผู้สอนเป็นผู้กำหนด ผู้สอนจะเป็นผู้กำหนดหน่วยการจัดประสบการณ์ โดยพิจารณาจากสาระการเรียนรู้ในหลักสูตรสถานศึกษาและความสนใจของเด็ก

วิธีที่ ๒ ผู้สอนและเด็กร่วมกันกำหนด ผู้สอนจะกระตุ้นให้เด็กแสดงความคิดเห็น แล้วนำเรื่องที่สนใจมากำหนดเป็นหน่วยการจัดประสบการณ์

วิธีที่ ๓ เด็กเป็นผู้กำหนด ผู้สอนจะเปิดโอกาสให้เด็กเป็นผู้กำหนดหัวเรื่องได้ตาม ความสนใจของเด็ก

ผู้สอนสามารถนำหัวเรื่องหน่วยการจัดประสบการณ์ที่กำหนดไว้มาจัดทำเป็นกำหนดการจัดประสบการณ์ประจำปีการศึกษา โดยคำนึงถึงฤดูกาล แหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เทศกาล ประเพณี และวันสำคัญต่าง ๆ เพื่อเป็นการเตรียมว่าจะจัดประสบการณ์หัวเรื่องใดในช่วงเวลาใด ให้ครบตามเวลาเรียน ที่กำหนดในหลักสูตรสถานศึกษา ทั้งนี้ ผู้สอนควรจัดเตรียมให้มีช่วงเวลาสำหรับจัดประสบการณ์ ตามความสนใจของเด็ก และตระหนักว่าสามารถเปลี่ยนแปลงหรือยืดหยุ่นกำหนดการจัดประสบการณ์ ได้ตามความสนใจของเด็ก

๒) กำหนดรายละเอียดของหน่วยการจัดประสบการณ์ ผู้สอนควรกำหนดรายละเอียด ของหน่วยการจัดประสบการณ์ ประกอบด้วย ความสามารถผู้เรียนเมื่อจบชั้นปี จุดประสงค์การเรียนรู้ และสาระการเรียนรู้ทั้งประสบการณ์สำคัญและสาระที่ควรเรียนรู้ ให้สัมพันธ์กันทุกองค์ประกอบ โดยนำมาจากการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้รายปีในหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งอาจยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสมกับหัวเรื่องหรือชื่อหน่วยการจัดประสบการณ์ พร้อมทั้งกำหนดเวลาเรียนของแต่ละหน่วยการจัดประสบการณ์ ๑-๒ สัปดาห์ ตามความเหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ของหน่วยการจัดประสบการณ์

    (1) ความสามารถผู้เรียนเมื่อจบชั้นปี กำหนดความสามารถผู้เรียนของหน่วยการจัดประสบการณ์ที่คาดว่าการจัดประสบการณ์ในหน่วยนั้น ๆ จะนำพาเด็กไปสู่ความสามารถเมื่อจบชั้นปี การกำหนดความสามารถผู้เรียนของแต่ละหน่วยจะต้องครอบคลุมความสามารถทั้ง 4 ด้าน แต่ไม่จำเป็นต้องครบ ทุกองค์ประกอบของความสามารถ ผู้สอนสามารถนำความสามารถผู้เรียนจากการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ รายปีในหลักสูตรสถานศึกษา ในส่วนที่สัมพันธ์กับสาระที่ควรเรียนรู้ที่เลือกมาจัดในหน่วยการจัดประสบการณ์

    (2) จุดประสงค์การเรียนรู้ กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ต้องการ ให้เกิดกับเด็กเมื่อทำกิจกรรมในหน่วยการจัดประสบการณ์แล้ว ผู้สอนสามารถกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้โดยพิจารณาจากความสามารถผู้เรียนเมื่อจบชั้นปี แล้วปรับเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ ทั้งนี้ การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้สามารถกำหนดให้สัมพันธ์กับสาระที่ควรเรียนรู้ของหน่วยการจัดประสบการณ์ หรือปรับให้สอดคล้องกับความสามารถในขณะนั้นของเด็ก โดยเชื่อว่าความสามารถดังกล่าวเป็นพื้นฐาน ที่จะนำไปสู่ความสามารถผู้เรียนที่หลักสูตรสถานศึกษากำหนดต่อไป จุดประสงค์การเรียนรู้ของแต่ละ หน่วยการจัดประสบการณ์จะครอบคลุมความสามารถผู้เรียนทั้ง 4 ด้าน โดยจำนวนจุดประสงค์การเรียนรู้ ของแต่ละหน่วยอาจแตกต่างกันได้ แต่ควรกำหนดจำนวนจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ไม่มากเกินไป เพื่อให้สามารถวัดหรือสังเกตพฤติกรรมของเด็กได้จริง

    (3) สาระการเรียนรู้ กำหนดรายละเอียดของสาระการเรียนรู้ให้เข้ากับหัวเรื่องหน่วยการจัดประสบการณ์ การกำหนดสาระการเรียนรู้ต้องประกอบด้วยประสบการณ์สำคัญและสาระที่ควรเรียนรู้ ดังนี้

        (1) ประสบการณ์สำคัญ กำหนดประสบการณ์สำคัญที่จะใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมอย่างเหมาะสมกับหน่วยการจัดประสบการณ์ เพื่อพัฒนาเด็กเกิดความสามารถที่ต้องการพัฒนา และบรรลุผลตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ผู้สอนสามารถคัดเลือกประสบการณ์สำคัญจากหลักสูตรสถานศึกษาในส่วนที่สัมพันธ์กับสาระที่ควรเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้รายปี โดยพิจารณาให้ประสบการณ์สำคัญ ของแต่ละหน่วยการจัดประสบการณ์ครอบคลุมความสามารถผู้เรียนทั้ง ๔ ด้าน ทั้งนี้ ผู้สอนสามารถพิจารณาปรับเปลี่ยน หรือเพิ่มเติมประสบการณ์สำคัญได้ตามความเหมาะสมเมื่อเวลาเขียนแผนการจัดประสบการณ์ และประสบการณ์สำคัญที่กำหนดจะต้องปรากฏในการดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ

        (2) สาระที่ควรเรียนรู้ กำหนดรายละเอียดของสาระที่ควรเรียนรู้โดยการคัดเลือก สาระที่ควรเรียนรู้ที่สัมพันธ์กับหัวเรื่องของหน่วยจากหลักสูตรสถานศึกษามากำหนดรายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งในลักษณะที่เป็นแนวคิด เนื้อหา ทักษะ หรือเจตคติ โดยคำนึงถึงสิ่งที่เด็กรู้แล้ว สิ่งที่เด็กต้องการรู้ และสิ่งที่เด็กควรรู้ พิจารณาให้มีระดับความยากง่ายของสาระที่ควรเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัยและสิ่งแวดล้อม ในชีวิตจริงของเด็ก ทั้งนี้ เมื่อกำหนดสาระที่ควรเรียนรู้ครบทุกหน่วยแล้ว ควรมีสาระที่ควรเรียนรู้ครบถ้วนตามที่ระบุไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา


๓. เขียนแผนการจัดประสบการณ์

๓.๑ เขียนแผนการจัดประสบการณ์รายสัปดาห์ ออกแบบและกำหนดกิจกรรมที่ช่วยให้เด็ก เกิดการเรียนรู้ครบตามจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วย ครอบคลุมกิจกรรมประจำวันที่ระบุไว้ใน หลักสูตรสถานศึกษาตลอดทั้งสัปดาห์ไว้ล่วงหน้า การเขียนแผนการจัดประสบการณ์รายสัปดาห์ต้องคำนึงถึงความสามารถผู้เรียน รวมถึงประสบการณ์สำคัญและสาระที่ควรเรียนรู้ตามหน่วยการจัดประสบการณ์ ที่ได้ออกแบบไว้ การกำหนดกิจกรรมต้องพิจารณาถึงความสมดุลของความสามารถผู้เรียนทุกด้าน เป็นอันดับแรก จัดให้มีความหลากหลายของกิจกรรม มีความสอดคล้องกันและเป็นไปในทิศทางที่ส่งเสริมความสามารถของเด็กแต่ละคนให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วย ตามคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยฉบับนี้ใช้กิจกรรมหลัก ๖ กิจกรรม แผนการจัดประสบการณ์รายสัปดาห์จึงแสดงกิจกรรมหลัก ๖ กิจกรรม ซึ่งเป็นการพัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวมทั้ง 4 ด้านเป็นกิจกรรมประจำวัน

๓.๒ เขียนแผนการจัดประสบการณ์รายวัน ระบุรายละเอียดที่ครอบคลุมจุดประสงค์ การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วย ประสบการณ์สำคัญและสาระที่ควรเรียนรู้ กิจกรรม สื่อ และการประเมินความสามารถผู้เรียน กำหนดวิธีการดำเนินกิจกรรมสอดคล้องกับประสบการณ์สำคัญที่วางแผนไว้ในแผนการจัดประสบการณ์รายสัปดาห์เป็นขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ โดยคำนึงถึงพัฒนาการ ความสามารถผู้เรียน ช่วงความสนใจของเด็ก และจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการ สิ่งที่ผู้สอน ควรคำนึงถึงในการเขียนแผนการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยคือ การออกแบบกิจกรรมตามหลักการจัดประสบการณ์และแนวทางการจัดประสบการณ์ ของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ผู้สอนควรพิจารณาเขียนแผนการจัดประสบการณ์ ที่นำไปใช้ได้จริง และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเด็ก เพื่อเป็นแนวในการปฏิบัติจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อเขียนแผนการจัดประสบการณ์แล้ว ผู้สอนควรนำแผนการจัดประสบการณ์ไปใช้ในการจัดประสบการณ์จริง ผู้สอนควรให้ความสำคัญกับทั้งการเขียนแผนการจัดประสบการณ์และการจัดประสบการณ์จริงสำหรับเด็ก เพราะแผนการจัดประสบการณ์ที่ดีย่อมนำไปสู่การสอนที่ดี และควรให้ความสำคัญกับการจัดประสบการณ์ทั้งที่มีการออกแบบไว้ล่วงหน้าและเกิดขึ้นในสภาพจริงโดยไม่ได้คาดการณ์ไว้ รวมถึงประสบการณ์ที่เกิดจากการอบรมเลี้ยงดูในกิจวัตรประจำวันด้วย

๔. บันทึกหลังการจัดประสบการณ์ หลังจากจัดประสบการณ์แล้ว ผู้สอนควรดำเนินการ การประเมินผลการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในแผนการจัดประสบการณ์ และบันทึกหลังการจัดประสบการณ์ของผู้สอน ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดในแผนการจัดประสบการณ์ รวมทั้งไตร่ตรองคิดทบทวนเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์ของตนเอง โดยผู้สอนสามารถบันทึกผลการประเมินได้ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับลักษณะของข้อมูลที่ต้องการ ทั้งนี้การบันทึก หลังการจัดประสบการณ์เป็นการบันทึกพฤติกรรมของเด็กตามจุดประสงค์การเรียนรู้ในลักษณะของ การตรวจสอบรายการ และบันทึกเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์ ทั้งในเรื่องความยากง่ายของกิจกรรมที่กำหนด ความเหมาะสมของสื่อ ระยะเวลาในการจัดกิจกรรม และข้อมูลอื่น ๆ ที่ผู้สอนคาดว่าจะเป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาเด็กในการจัดประสบการณ์ครั้งต่อไปในลักษณะของการเขียนบรรยาย ทั้งนี้ ผู้สอนสามารถปรับเปลี่ยนหรือออกแบบแบบบันทึกหลังการจัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานของตนเอง ได้ตามความเหมาะสม


คำอธิบายการออกแบบหน่วยการจัดประสบการณ์


ตัวอย่างที่ ๑
๑.๑ หน่วยการจัดประสบการณ์ ชั้นอนุบาลปีที่ ๑ หน่วย “หนูน้อยรักษ์โลก”








ตัวอย่างที่ ๒
2.1 หน่วยการจัดประสบการณ์ ชั้นอนุบาลปีที่ 2 หน่วย “หนูน้อยรักษ์โลก”









วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2566

นวัตกรรมเพื่อความสุขของเด็กปฐมวัย


นวัตกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข (ระดับชั้นปฐมวัย)

(นวัตกรรม/ชิ้นงาน/วิธีการ/สื่อ ส่งเสริมการเรียนรู้)

 

ชื่อเจ้าของผลงาน         นางสาวสานฝัน สูตรตันติ

1.  ชื่อนวัตกรรม “กระทงจากกระดาษเหลือใช้” สอนชั้น อนุบาล 3/2 เวลา 1 ชั่วโมง 

     ช่วงเวลาที่ใช้  ( / ) กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์  (   ) นอกเวลาเรียน (ระบุช่วงเวลา)....................

 

2. เป้าหมายของการทำนวัตกรรมในครั้งนี้

    1. เพื่อส่งเสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กของนักเรียน

    2. เพื่อฝึกให้นักเรียนมีสมาธิในการทำกิจกรรม

    3. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนทำกิจกรรมที่ตนเองต้องการได้สำเร็จ มีความภาคภูมิใจในผลงานของตน

    4. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความรักในความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย และประเพณีไทยผ่านการทำกระทง

 

3. ขั้นตอน/กระบวนการ/วิธีการในการนำกิจกรรมไปใช้

    3.1 เล่าประวัติความเป็นมาของวันลอยกระทง ร้องเพลงลอยกระทงและร่วมรำวง เล่าถึงการทำกระทง

    3.2 ให้นักเรียนนั่งเป็นวงกลม และแนะนำวัสดุ/อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกระทง ได้แก่ กาวลาเท็กซ์  กรรไกร กระดาษลังที่ตัดเป็นรูปวงกลมสำหรับใช้เป็นฐานของกระทง  กระดาษต้นแบบรูปเทียนและกลีบของกระทง  สีไม้

    3.3 แจกกระดาษต้นแบบรูปเทียนและกลีบของกระทง ให้นักเรียนระบายสี

    3.4 นักเรียนลงมือระบายสี กระดาษต้นแบบรูปเทียนและกลีบของกระทงตามจินตนาการด้วยสีไม้

    3.4 นักเรียนมารับฐานของกระทงจากคุณครู และเขียนชื่อตนเองไว้ใต้ฐานของกระทง

    3.5 นักเรียนใช้กรรไกรตัดกระดาษ ต้นแบบรูปเทียนและกลีบของกระทง ตามรอยเส้น

    3.6 นักเรียนทากาวลาเท็กซ์แล้วติด กระดาษต้นแบบรูปเทียนและกลีบของกระทงลงบนฐานวงกลมที่เตรียมไว้ โดยมีคุณครูคอยดูแล แนะนำ ช่วยเหลือ

 

4. ความสำเร็จของการใช้นวัตกรรมในครั้งนี้ คือ 

     - นักเรียนมีความสุขและสนุกสนานในการทำกิจกรรมทั้งรายบุคคลและกลุ่ม

     - นักเรียนมีความตั้งใจ มีสมาธิ สามารถทำกิจกรรมจนสำเร็จ มีผลงาน มีความภาคภูมิใจในตนเอง

     - นักเรียนมีความภาคภูมิใจ ความรักในความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย และประเพณีไทย

 

5. สิ่งที่นักศึกษาได้เรียนรู้จากการใช้นวัตกรรมในครั้งนี้ คือ

     ได้เรียนรู้ว่าการให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเองจะทำให้เขาซึมซับสิ่งต่างๆ ได้ง่ายกว่าการอธิบายให้ฟังเพียงอย่างเดียว และเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้นักเรียน ได้ปลูกฝังในความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย และประเพณีไทย นอกจากนี้ ยังทำให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข มีความเพลิดเพลินไปกับการเรียนและการลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง 






    “ความสุข” หมายถึง สภาวะที่บุคคลรับรู้ว่าตนเองได้ทำในสิ่งที่ตนต้องการและทำได้สำเร็จ มีความเป็นตัวของตัวเอง มีความภาคภูมิใจในการกระทำของตน มีความคิดเชิงบวก มีความกระตือรือร้นในการดำเนินชีวิตที่จะนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดี มีการพัฒนาตน มีสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบข้างและสังคม สามารถดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง และมีใจที่สงบ มั่นคงทางอารมณ์  

(นิยามของ “ความสุข” สำหรับเด็กปฐมวัย จากงานวิจัยของ สุภาภรณ์ ปั้นกล่ำ. 2557: 13 )



ความหมายของความสุข และความสุขในเด็กปฐมวัย 
    “สุขภาพ” หมายถึง ภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย จิตใจ ปัญญา และสังคม เชื่อมโยงกันเป็นองค์รวมอย่างสมดุล” ตามนิยาม “สุขภาพ” ขององค์การอนามัยโลก และพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 หรือกล่าวได้ว่า “สุขภาวะที่สมบูรณ์ทุกๆ ทางเชื่อมโยงกัน สะท้อนถึงความเป็นองค์รวมอย่างแท้จริงของสุขภาพที่เกื้อหนุนและเชื่อมโยงกันทั้ง 4 มิติ” นำมาสู่วิสัยทัศน์ของสานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คือ “คนไทยมีสุขภาวะยั่งยืน หมายถึงคนไทยมีสุขภาวะดีครบทั้งสี่ด้าน ได้แก่ กาย จิต สังคม และปัญญา อันได้แก่ 
    1. สุขภาวะทางกาย หมายถึง การมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีเศรษฐกิจพอเพียง มีสิ่งแวดล้อมดี และไม่มีอุบัติภัย เป็นต้น 
    2. สุขภาวะทางจิต หมายถึง จิตใจที่เป็นสุข ผ่อนคลาย ไม่เครียด คล่องแคล่ว มีความเมตตา กรุณา มีสติ และมีสมาธิ เป็นต้น 
    3. สุขภาวะทางสังคม หมายถึง การอยู่ร่วมกันด้วยดี ในครอบครัว ในชุมชน ในที่ทางาน ในสังคม ในโลก ซึ่งรวมถึงการมีบริการทางสังคมที่ดี และมีสันติภาพ เป็นต้น 
    4. สุขภาวะทางปัญญา (จิตวิญญาณ) หมายถึง ความสุขอันประเสริฐที่เกิดจากมีจิตใจสูง เข้าถึงความจริงทั้งหมด ลดละความเห็นแก่ตัว มุ่งเข้าถึงสิ่งสูงสุด ซึ่งหมายถึงพระนิพพาน หรือพระผู้เป็นเจ้าหรือความดีสูงสุด สุดแล้วแต่ความเชื่อที่แตกต่างกันของแต่ละคน

    สุขภาวะ หมายถึง การดำรงชีพของบุคคลอย่างมีสุขทั้งกาย และ จิต อาจกล่าวได้ว่ามิใช่เพียงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่รวมถึงการมีชีวิตที่มีร่างกายแข็งแรง จิตแข็งแรง มีความสุขอยู่ในสังคม โลกในปัจจุบัน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บางอย่างที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดภาวะคุกคามต่อสุขภาวะคนไทยเกิดเป็นปัญหาด้าน สุขภาพ มลภาวะที่เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับอาหาร วิถีชีวิต ค่านิยมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาทั้งสิ้นก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บเช่นเกิดโรคเอดส์ เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด เกิดอุบัติภัยสูงขึ้น เป็นต้น มีโรคหลายโรคที่อาจป้องกันหรือสามารถลดอัตราเสี่ยงลงได้ ซึ่งต้องการความร่วมมือร่วมใจจากหลายๆฝ่ายช่วยการสร้างเสริมสุขภาพให้กับสังคม 
    นักจิตวิทยาชื่อ รัทท์ แวนโฮเฟ่น (1997) ให้นิยามความสุขว่า หมายถึง การประเมินของแต่ละคนว่า ชื่นชอบชีวิตโดยรวมของตนเองมากแค่ไหน การที่เราบอกว่าเรามีความสุข จึงหมายถึงเรารู้สึกชอบหรือพึงพอใจกับชีวิตเรานั่นเอง คนที่มีความสุขนั้น เป็นคนที่แทบจะไม่รู้สึกวิตกกังวลกับชีวิตตนเอง ชอบสนุกสนานอยู่กับเพื่อนฝูง และชอบประสบการณ์ใหม่ ๆ มีอารมณ์มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงง่าย และมักจะหวังว่าตนจะพบเจอสิ่งดี ๆ ในอนาคต 
    พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (2550) กล่าวถึง นิยามแห่งความสุข ว่าในพุทธศาสนา ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือชั่ง ตวง วัด อย่างเช่น ความสุขในใจเรา บางทีเราวัดไม่ได้ แต่เราสามารถรู้ได้ สัมผัสได้  ในทัศนะของพุทธศาสนา ความสุข นิยามได้ ความสุข คืออะไร ความสุข คือ สภาวะที่ทำได้ง่าย หมายความว่า เมื่อสภาวะอย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว เราสามารถรับมือกับมันได้อย่างสบาย ๆ ไม่ต้องจำใจยอมรับ จำใจทำ 
    ประเภทของความสุข มี 2 ประเภท คือ 
    1. ความสุขทางกาย คือ สุขที่แสดงผลออกมาทางกาย คือ ตา หู จมูก และลิ้น 
    2. ความสุขทางใจ คือ เจตสิกสุข คือ ใจที่เป็นสุข 
    ในทางธรรมมะความสุขมีอยู่ 2 ประเภท 
    1. ความสุขในโลก หรือโลกียสุข คือ ความสุขที่กิเลสของเราได้รับการพะเน้าพะนอ เช่น ตาอยากเห็น เราก็ให้มันเห็น ลิ้นอย่างลิ้มรส ก็ได้ลิ้ม กายอยากสัมผัส และก็ได้สัมผัส ฯลฯ 
    2. ความสุขที่อยู่เหนือโลก หมายความว่า เป็นความสุขที่เกิดจากสภาพที่แท้จริงของใจ เกิดจากปัญญารู้เท่าทันความจริงของโลก

    พจนานุกรมของราชบัณฑิตได้ให้ความหมายของคำว่า “สุข” ว่า หมายถึง ความสบาย ความสำราญ ความปราศจากโรค 
    ความสุขเกิดจากสภาพอารมณ์ของเราซึ่งได้รับแรงปะทะจากทั้งภายในและภายนอก และมีหลายระดับซึ่งตามแนวคิดของตะวันตกแล้วแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้ 
    ความสุขระดับที่ 1 เป็นความสุขขั้นพื้นฐานที่มาจากสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเรา ความสุขระดับนี้ คือ ความพอใจที่เราได้รับการตอบสนองด้วยวัตถุในทันที หรือได้รับโดยตรง ซึ่งเมื่อเราได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ความรู้สึกเป็นสุขก็จะตามมา เช่น การกินไอศครีม ซื้อรถ การซื้อสินค้า แบรนด์เนม การไปพักผ่อนในที่พักต่างอากาศ ความรู้สึกพอใจดังกล่าวเป็นความรู้สึกระยะสั้น ๆ และดูจะบางเบา เพราะเมื่อได้รับการ ตอบสนองตามต้องการแล้ว ความสุขก็จะค่อย ๆ ลดลง 
    ความสุขระดับที่ 2 เป็นความสุขที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา (ในต้นฉบับใช้คำว่า ego ซึ่งในภาษาลาติน หมายถึง I) ความรู้สึกส่วนนี้จะมีก็ต่อเมื่อเราได้รับความสนใจ ได้รับการสรรเสริญ ชื่นชมยินดี หรือเมื่อเราเห็นว่า ตัวเองมีความหมายเหนือสิ่งอื่น เช่น เมื่อเราชนะ มีอานาจ ได้รับการชื่นชม หรือมีชื่อเสียงโด่งดัง เราก็จะมีความสุข และเกิดความพึงพอใจในตนเอง ความสุขในระดับนี้เป็นเหมือนสภาวะภายในใจ (Ego) จนเกิดความรู้สึกเสมือนกับว่า สิ่งที่เราได้รับ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในโลก 
    ความสุขระดับที่ 3 อย่างไรก็ตาม ความสุขระดับที่ 2 ใช่ว่าจะเป็นความรู้สึกพึงพอใจทั้งหมด เพราะยังมีบางอย่างที่ผิดพลาดอยู่ เนื่องจากมนุษย์ยังต้องการความรักความจริง ความดีงาม ความยุติธรรม ความสวยงาม และการมีชีวิตที่ดี ความต้องการดังกล่าวแสดงออกในรูปแบบการบาบัดเยียวยาเพื่อสร้างสิ่งดีงาม (Charity-seeking Cures) รู้สึกถึงความสัมพันธ์กัน รู้จักที่จะเสียสละ รู้จักให้อภัย รู้จักการ ให้ความยุติธรรมกับคนอื่น เราต้องการให้โลกเป็นผืนแผ่นดินที่สงบสุข และนั่นจะส่งผลดีต่อชีวิต ต่อกาลเวลา ต่อพลังงาน และต่อความเฉลียวฉลาดจากการสงเคราะห์คนอื่นความสุขของเราจึงไม่ได้ถูกแบ่งแยก (Separate) จากความสุขอื่น ๆ แต่เหมือนเป็นองค์รวมจากทุก ๆ สิ่งที่ประสานรวมเข้าด้วยกัน ความดีงามในใจ (Common Good) จึงเป็นการผสมผสานของความสุขจากส่วนต่าง ๆ ประกอบรวมกัน 
    ความสุขระดับที่ 4 เป็นความสุขขั้นสูงสุด ในความหมายของฝรั่งแล้ว ไม่ได้หมายถึง การหมดสิ้นในสิ่งที่เราปรารถนา หรือความไม่อยาก ไม่ต้องการอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะมนุษย์ยังต้องการวิธีการดาเนินชีวิต (Sublime) ซึ่งบางสิ่งบางอย่างอยู่เหนือจินตนาการมนุษย์ อยู่เหนือสิ่งที่มนุษย์จะเข้าใจได้ ดังนั้นความสุขที่แท้จริงก็คือ การได้ทบทวนความปรารถนาของตัวเองว่า เราต้องการความรัก ความดีงาม ความจริง ความสวยงาม และยังต้องการการกระทำเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เรายังต้องการความสมบูรณ์แบบและความต้องการที่ไม่สิ้นสุดอยู่ดี  ความสุขในขั้นสูงสุดนี้ จึงเป็นความสุขในความศรัทธาที่พร้อมจะกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่มีเงื่อนไข เช่น ความศรัทธาต่อพระเจ้า ความเชื่อมั่นว่าการทำดีคือความสุข (ไม่ใช่การทาดีแล้วต้องได้ดี) ความสุขในระดับนี้จึงคล้ายกับหลักธรรมของพุทธศาสนาที่เชื่อว่า ความสุขที่ไม่ต้องมีอามิสสินจ้างใดมาเป็นเหยื่อล่อ หรือ "นิรามิสสุข" (วารสารทรัพยากรมนุษย์ ปีที่ 2 ฉบับที่ 2: สันติชัย อินทรอ่อน)

    บุญไท เจริญผล (2549) กล่าวถึงคุณค่าและความสาคัญของกระบวนการทางศิลปะที่สร้างสุขภาวะให้กับเด็ก คือ 
    1. สุขภาวะทางสติปัญญา เราจะพบว่ากระบวนการทางานศิลปะนั้นจะเริ่มจากการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งเป็นประสบการณ์ บูรณาการประสบการณ์ความคิดและจินตนาการเข้าด้วยกัน แล้วจึงสังเคราะห์เส้น รูปร่าง รูปทรง และสี ในขั้นสุดท้าย ช่วยพัฒนาด้านการเรียนรู้ หรือพัฒนาการสติปัญญาโดยตรง เป็นการสะสมพลังปัญญาเพื่อให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพต่อไป 
    2. สุขภาวะทางอารมณ์-จิตใจ คุณค่าที่ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเด็กรับรู้ สะสมประสบการณ์และเรียนรู้นั้น นอกจากเขาจะต้องปรับพฤติกรรมต่าง ๆ แล้ว เด็กยังต้องปรับอารมณ์ของเขาอีกด้วย ซึ่งอาจจะต้องมีความพอใจ มีความกระหายและมีความมั่นคงที่จะเรียนรู้ การทางานศิลปะไม่ว่าจะเป็นปั้นดิน วาดภาพระบายสี เด็กได้แสดงออกอย่างเพลิดเพลินสนุกสนาน และแสดงความสามารถ และเห็นผลสาเร็จจากการแสดงความสามารถของตน ความเพลิดเพลินและความภาคภูมิใจจะช่วยพัฒนาอารมณ์ของเด็กได้อย่างดี
    กล่าวโดยสรุปได้ว่า ความหมายของ “สุขภาวะ หรือ ความสุขของเด็กปฐมวัย” นั้น เราสามารถวัดได้จากปัจจัยขั้นพื้นฐานทางด้านร่างกายที่มีสุขภาพแข็งแรง เจริญเติบโตสมวัย มีสติปัญญาดี มีอารมณ์และจิตใจที่แจ่มใส มีความมั่นคงทางอารมณ์ มีความพึงพอใจในสิ่งต่างๆ รอบตัว มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง มีสมาธิ มีสุขภาพจิตดี ซึ่งความสุขของเด็กต้องมีพื้นฐานจากครอบครัวที่ดี การเลี้ยงดูที่เข้าใจและการส่งเสริมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการทุกๆ ด้าน และการฝึกปฏิบัติกิจกรรมศิลปะจะทาให้เด็กเกิด “สุขภาวะ” ได้และเกิดการสร้างประสบการณ์ความสุข และการเรียนรู้ที่ดี





กิจกรรม.............เพื่อการเรียนรู้อย่างมีความสุขของผู้เรียนระดับปฐมวัย

*ขั้นตอนการออกแบบและพัฒนาสื่อ/กิจกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียนระดับปฐมวัย* ให้มีพัฒนาการด้าน.....ตามศักยภาพเป็นรายบุคคล [ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข ]

          1. “รู้จักเด็ก”  ด้วยการวิเคราะห์ผู้เรียน ลักษณะของผู้เรียน ช่วงอายุ ระดับพัฒนาการแต่ละด้าน (เน้นเฉพาะด้านที่ต้องการพัฒนาก็ได้) จำนวนผู้เรียนในชั้นเรียนนั้นๆ (ขนาดของชั้นเรียนหรือกลุ่มผู้เรียน)

2. “รู้จักชั้นเรียน” ด้วยการศึกษาข้อมูลบริบทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีผลต่อการออกแบบกิจกรรม เช่น พื้นที่ ขนาดของห้องเรียน บรรยากาศและสภาพแวดล้อมใน/นอกห้องเรียน สภาพอากาศในช่วงเวลานั้น เป็นต้น

3. “รู้จุดหมายของการจัด” ด้วยการกำหนดเป้าหมาย/วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมในครั้งนี้

4. “รู้คิดหาวิธีสอนและสื่อ” คัดเลือกกิจกรรมซึ่งมีลักษณะของกิจกรรม/วิธีการ/เนื้อหา /วัสดุอุปกรณ์และสื่อที่ใช้ประกอบ ที่ครูผู้สอน (ผู้ออกแบบกิจกรรม) พิจารณาเลือกอย่างมีหลักวิชา (หลักการสอน/หลักการจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมกับลักษณะกิจกรรม   - - ศึกษาได้จากคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 และเอกสาร, ตำรา, งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย)   - เมื่อคัดเลือกกิจกรรมได้แล้ว นำมากำหนดกิจกรรม จัดทำรายละเอียดต่างๆ ให้ครบทุกองค์ประกอบ  (ศึกษาองค์ประกอบของการเขียนแผนการจัดกิจกรรม / แผนการจัดประสบการณ์)  - ผู้สอนต้องทดลองจัดกิจกรรม ทบทวนขั้นตอนกระบวนการต่างๆ จนเกิดความชำนาญ ก่อนนำไปจัดกิจกรรมจริงในชั้นเรียน 

5. “รู้วิธีประเมินผล” สร้างและใช้เครื่องมือประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยที่เหมาะสม     เลือก/กำหนดวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ สามารถใช้วัดผลและประเมินผลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  *ประเมินตามสภาพจริง

**ทุกวิธีการที่ใช้ประเมิน เริ่มจากวิธีการสังเกตพฤติกรรมผู้เรียนในประเด็นที่ต้องการประเมิน (ตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนดไว้) จากนั้นจึงเลือก/กำหนดเครื่องมือการประเมินที่เหมาะสม เช่น แบบบันทึกพฤติกรรม, แบบสำรวจรายการพฤติกรรม, แบบบันทึกคำพูด, แบบสัมภาษณ์, การจัดทำสารนิทัศน์สะท้อนพัฒนาการและการเรียนรู้ เป็นต้น

              เมื่อผู้สอนนำกิจกรรมที่ออกแบบไว้ไปจัดในชั้นเรียน จัดทำรายละเอียดข้อมูล แสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ เช่น ภาพถ่ายขณะจัดกิจกรรม หลักฐานกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ฯลฯ

การจัดทำสารนิทัศน์ - เป็นการจัดทำข้อมูลที่เป็นหลักฐานหรือแสดงให้เห็นร่องรอยของการเจริญเติบโต พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจากการทำกิจกรรมทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม > บันทึกด้วยการเขียน ด้วยแถบบันทึกเสียงหรือแถบบันทึกภาพสะท้อนการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นต้น

 

                         ที่มา:

รศ.ดร.นันทิยา น้อยจันทร์. (มปป.) “การออกแบบการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการการเรียนรู้โดยใช้การทำงานของสมองเป็นฐานเอกสารบรรยาย รายวิชา ECC1302 การอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย. สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา.

 

 



 











 

พฤติกรรมความสุขของเด็กปฐมวัย
    ไดแอน ทิลแมน และไดอาน่า ซู (2543 : 92) กล่าวถึงพฤติกรรมความสุขของเด็กปฐมวัย
สามารถจำแนกได้เป็น 3 ด้าน
    1. ด้านสนุกสนานกับประสบการณ์แห่งความสุข เป็นการที่นักเรียนสนุกสนานกับแบบฝึกหัด "จินตนาการถึงโลกที่มีความสุข" สนุกกับการเล่นเกมกับเด็กๆ ในชั้น และการร้องเพลงที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นสุข
    2. ด้านเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับความสุข เป็นการที่นักเรียนสามารถสื่อสารเป็นคำพูดหรือภาพวาดถึงโลกที่เป็นสุข การระบุสิ่งดีๆ ที่นักเรียนมีส่วนร่วมทำในการพูดคุยถึงประเด็นสะท้อนความคิดว่า "เมื่อได้กระทำสิ่งที่ดี ก็เป็นสุขกับตนเอง" การค้นหาความรู้สึกของตนเอง เมื่อผู้คนพูดไม่ดหรือพูดดี และความคิดเกี่ยวกับวิธีที่เราจะให้ความสุขแก่ผู้อื่น
    3. ด้านเสริมสร้างทักษะทางสังคมสำหรับความสัมพันธ์ที่เป็นความสุข เป็นการระบุคำพูดที่
ทำร้าย ผู้อื่น และคำพูดที่ให้ความสุขแก่ผู้อื่น การมีส่วนร่วมในการพูดคุยในชั้นเรียนว่าจะสามารถอดทน
ทั้งกับตนเองและผู้อื่น การฝึกเป็นผู้มีความปรารถนาดีต่อทุกคนในห้องเรียนในช่วงที่ทำแบบฝึกหัดการ
อยู่อย่างเงียบๆ






วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2566

การจัดทำรายงานการศึกษาเด็กรายกรณี และ แฟ้มสะสมผลงานการจัดกิจกรรมศิลปะระดับการศึกษาปฐมวัย

1. รายงานการศึกษาเด็กรายกรณี  [ศึกษาตัวอย่างรายงานและการนำเสนอรายงานฯ]
นักศึกษาจัดทำเนื้อหารายงานให้ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง 9 หัวข้อ
(รายละเอียดอยู่ในเอกสารอ่านประกอบการเรียน)


2. แฟ้มสะสมผลงานการจัดกิจกรรมศิลปะระดับการศึกษาปฐมวัย 
(นำเสนอผลงานจากการฝึกปฏิบัติและการศึกษา-เรียนรู้ของนักศึกษา)
ศึกษารายละเอียดของกิจกรรมในรายวิชาฯ  เรียบเรียง จัดทำแฟ้มสะสมผลงานต่างๆ ที่ได้ฝึกปฏิบัติ และศึกษา-เรียนรู้ทั้งด้วยตนเอง และเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านการค้นคว้า การนำเสนอ การอภิปราย ฯลฯ 
ตัวอย่างกิจกรรม : 
สรุปงานตลอดทั้งภาคเรียน จากการฝึกปฏิบัติกิจกรรมศิลปะอย่างน้อย 6 ประเภท 
(มีรายละเอียดขั้นตอนการจัดกิจกรรมทุกกิจกรรม) ดังนี้ 
1) การวาดภาพระบายสี
2) การทดลองเกี่ยวกับสี / การเล่นสี
3) การพิมพ์ภาพ
4) การพับ ฉีก ตัด ปะ กระดาษ
5) การปั้น
6) การประดิษฐ์ / การออกแบบสร้างสรรค์จากเศษวัสดุ
7) ...............................................................................

กิจกรรมศิลปะประเภทที่ 1-4  มีลักษณะกิจกรรมที่สามารถจัดเก็บลงในสมุดหรือแฟ้มสะสมผลงานได้ค่อนข้างง่าย  แต่ 2 ประเภทหลัง คือ การปั้น และ การประดิษฐ์ / หรือการออกแบบจากเศษวัสดุ งานมีลักษณะเป็นงานศิลปะ 2 มิติและ 3 มิติ ซึ่งนักศึกษาต้องฝึกปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ และ ฝึกปฏิบัติการจัดแสดงผลงานศิลปะ (ด้วยการจัด display  / หรือ จัดนิทรรศการ แสดงผลงาน) แล้วถ่ายภาพผลงาน บันทึกรายละเอียดต่างๆ จัดเก็บลงในสมุด เช่นเดียวกันค่ะ

...ตั้งใจทำงานกันนะคะ...
อ.ทิพจุฑา

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และ คู่มือฯ สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า ๓ ปี, อายุ ๓ - ๖ ปี





1.หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐


กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐.
กรุงเทพมหานคร : สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.







Early Childhood Curriculum B.E. 2560 (A.D. 2017)

(2017). Bureau of Academic Affairs and Educational Standards,

Office of the Basic Education Commission, Ministry of Education.


Link download สำรอง :

2. คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า ๓ ปี


กระทรวงศึกษาธิการ. (2561). คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า ๓ ปี. กรุงเทพมหานคร : สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ.
Link download สำรอง :

3. คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สำหรับเด็กอายุ ๓ - ๖ ปี


กระทรวงศึกษาธิการ. (2561). คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สำหรับเด็กอายุ ๓ - ๖ ปี. กรุงเทพมหานคร : สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.
Link download สำรอง :

มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ

มาตรฐาน สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ  และ คู่มือมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ   ... เป็นแนวทางการดำเนินงาน สำหรับหน่วยงานที่มีภารกิจ...